สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs)

          คนนี้ ทุกนาทีมีค่า คิดแล้วต้องทำเลย ไม่รีรอหรือชักช้า ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง เมื่อโอกาสมาถึงเมื่อไร พวกเขาก็จะลงมือทำในทันที แต่คนส่วนใหญ่ อ้างว่าไม่มีเวลา แต่เขาไม่เคยบ่นว่า ไม่มีเวลา และยังกำหนดเส้นทางเดินและเป้าหมายในชีวิตเอาไว้ แล้วเดินตามความฝันของเขาอย่างมีวินัย และอย่างเป็นระบบแบบแผนที่วางไว้


            ในศตวรรษที่ 21 นี้ เมื่อกล่าวชื่อคนๆหนึ่งขึ้นมา มีน้อยคนมากที่จะไม่รู้จัก เพราะเขามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ ที่ทำให้เกิดความสะดวกสบายในการติดต่อสื่อสาร สื่อบันเทิงต่างๆ นั่นก็คือ สตีฟ จอบส์ เขาเป็นต้นแบบของซีอีโอในศตวรรษที่ 21 ที่สามารถต่อยอดนวัตกรรมจากเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช และเป็นผู้ให้กำเนิดสินค้าต่างๆ ที่เป็นตระกูล i ทั้งหลาย อย่างเช่น iphone, ipad, itunes อื่นๆ เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกธุรกิจ และได้รับการกล่าวขานมากที่สุดในช่วงศตวรรษนี้ สิ่งที่เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของเขาก็คือ แบรนด์แอปเปิลแหว่งหนึ่งซีก ถือเป็นพัฒนาการขั้นสูงสุดของแบรนด์ เพราะไม่ใช่แบรนด์ที่สามารถปรากฏขึ้น และพบเห็นกันได้บ่อยนัก จึงทำให้แบรนด์ของเขาเปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของลัทธิไอทีที่มีเหล่าสาวกทั่วทุกมุมโลก ทำให้สตีฟ จอบส์ ถูกมองในฐานะเจ้าลัทธิ หรือศาสดาของลัทธิ ซึ่งไม่มีใครที่จะสามารถแทนที่ได้ ความสำเร็จในชีวิตของสตีฟ จอบส์ นั้นมาได้ยังไงเราลองมาดูกัน
              เริ่มต้นจากรอนที่เขาอายุได้ 17 ปี เขามักจะถามตัวเองเสมอว่า "ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตแล้ว เขายังอยากทำในสิ่งที่เขาทำอยู่หรือเปล่า " ถ้าตอบว่า "ไม่ " เขาจะกล่าวกับตัวเองว่า ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างเสียที ไม่ว่าจะเป็น ทุกความคาดหวัง ทุกความภาคภูมิใจ ทุกความกลัวที่อับอายขายหน้า ชื่อเสียง และความล้มเหลว จะหายไปจากสมองของเขาโดยปริยาย เมื่อความตายมาถึง หลุดพ้นจากความคิดที่พันธนาการอะไรต่างๆ ที่อาจจะต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญในชีวิต เหลือไว้เพียงสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียว คือการเตือนตัวเองว่า ไม่ได้อยู่เป็นอมตะ เป็นวิธีที่ดีที่สุดของเขา จึงทำให้เขาสามารถฟังเสียงหัวใจตัวเอง และทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ ถึงแม้บางครั้งจากพาเราไปนอกเส้นทางไปบ้างก็ไม่เป็นไร
               ด้วยความคิดนี้เอง ทำให้เขาลาออกจากการเรียนปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยรีด (Reed)ที่พึ่งเรียนได้ 6 เดือน  เพราะเขารู้สึกว่าไม่เห็นจะได้อะไรจากสิ่งที่เรียนในมหาวิทยาลัย และในการเรียนในในมหาวิทยาลัยก็ไม่ทำให้เขารู้จักตัวเองมากขึ้น เขาจึงตัดสินใจลาออก ถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีทีสุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขาเลยทีเดียว ทำให้เขาไม่ต้องเรียนวิชาที่ไม่อยากเรียน และได้เรียนวิชาที่เขาอยากเรียนมากกว่า เขาได้ไปเรียนวิชาประดิษฐ์ตัวอักษร ได้รู้จักตัวอักษร serif และ sans serif และเรียนรู้วิธีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้น วิธีการวางช่องไฟระหว่างตัวอักษร วิธีการออกแบบตัวอักษตให้สวย และใช้งานง่าย ซึ่งเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่เขาหลงใหล ทุกคนคิดว่าเรียนไม่แล้วไม่เห็นจะได้ใช้ประโยชน์อะไร จนกระทั้ง 10 ปีผ่านไป เขากับเพื่อนได้ออกแบบเครื่องแมคอินทอช เครื่องแรก เขาได้ออกแบบตัวหนังสือเหล่านั้นทั้งหมดลงไปในตัวเครื่อง เป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรก ที่วางตัวอักษรต่างๆอย่างเหมาะสม หลากหลาย และสวยงาม


                 เขาค้นพบสิ่งที่เขารักตั้งแต่ยังเด็ก ตอนเขาอายุ  20 ปี เขาและเพื่อนสนิท สตีฟ วอซเนียค (Steve Wozniak) ทำบริษัทแอปเปิ้ลด้วยกัน ในโรงรถของพ่อ พวกเขาทุ่มเททำงานกันอย่างหนัก  เขาใช้เวลา 10 ปี จนกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ มีพนักงานมากกว่า 4 พันคน เขาเปิดตัว
ประดิษฐกรรมที่ยอดเยียมที่สุดของเขาตอนนั้นก็คือ แมคอินทอช ก่อนอายุครบ 30 ปี หลังจากนั้นสถานณ์ความขัดแย้งระหว่างสตีฟ จอบส์ กับพนักงานและผู้บริหารด้วยกันก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดแตกหัก เมื่อจอห์น สคัลลีย์ (John Sculley) ซีอีโอที่เขาเป็นผู้ไปชักชวนให้มาเป็นผู้บริหาร เป็นคนปลดเขาออกจากตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงสุดของบริษัทแอปเปิ้ล การถูกบีบให้ออกจากสิ่งที่ตัวเองสร้างมากับมือจนเติบโตไปไกลมาก เป็นข่าวใหญ่ขึ้นมา ทุกคนพากันคิดว่าสิ่งที่เขาประสบจะเป็นเหตุการณ์ที่เจ็บปวดความล้มเหลวความเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัวเขาจะเป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปจะรับไหว เมื่อโลกทั้งใบของเขาเหมือนมลายหายไป เจาเคยคิดที่จะยอมแพ้ แล้วเลิกจากวงการธุรกิจคอมพิวเตอร์ แต่แล้วก็มีบางสิ่งที่อยู่ภายในของเขาไม่เปลี่ยนนั่นคือ ความรักในสิ่งเขาทำ เหตุการณ์ของบริษัทแอปเปิ้ล ที่ถูกปฎิเสธ เขาถืบเป็นคนละเรื่องกับความรักที่เขามีต่องานของเขา เขาจึงเริ่มตัดสินใจคิดใหม่ คิดว่าถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต จากเมื่อก่อนที่ต้องแบกรับภาระต่างๆไว้มากมาย ถูกปลดปล่อยให้เขาเข้าสู้ช่วงเวลาที่สามารถคิดสร้างสรรค์ที่สุด สตีฟ จอบส์เป็นแบบอย่างที่ดีของการเผชิญกับปัญหาที่วิกฤติในชีวิต เพราะเขาได้เดินหน้าต่อไปในสิ่งที่เขารัก และได้แสดงให้เห็นถึงความไม่ย้อท้อต่ออุปสรรค์ที่แทบจะหมดหวัง
                สตีฟ จอบส์ได้มาสร้างศูนย์ใหม่ โดยใช้เวลา 5 ปี ตั้งบริษัทใหม่ ชื่อ บริษัท NeXT และ Pixar ต่อมาได้กลายมาเป็นสตูดิโอที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก เพราะได้ผลิตภาพยนต์การ์ตูนแอนนิเมชั่นจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลก นั่นก็คือ Toy Story ต่อมาเกิดเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อ บริษัทแอปเปิ้ลได้เข้ามาซื้อบริษัท NeXT ด้วยเมูลค่า 402 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้สตีฟ จอบส์ได้กลับสู่บริษัทแอปเปิ้ลอีกครั้ง และเขาได้นำเทคโนโลยีที่เขาคิดค้นขึ้นที่ บริษัท NeXT ให้กลายมาเป็นหัวใจของการเติบโตของแอปเปิ้ลยิ่งขึ้นไปอีกครั้ง


                  ตอนที่เขาถูกบีบให้ออกจากแอปเปิ้ล ไม่นานแอปเปิ้ลก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ จนเกือบล้มละลาย ในช่วงนั้นเอง สตีฟ จอบส์ ได้กลับเข้ามาเป็นที่ปรึกษา รับตำแหน่ง ซีอีโอรักษาการ เนื่องจากเขาไม่ต้องการตำแหน่งแม้แต่น้อย เขาจึงขอรับเงินเดือน ปีละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นเพราะเขารักในสิ่งที่เขาทำ ไม่อยากให้มลายหายไปนั่นเอง เป็นการพิสูจน์ว่า แอปเปิ้ลคือทุกสิ่งของเขา
                   ในปี 2004 เขาถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็จที่ตับอ่อน ซึ่งยากต่อการรักษา หมอบอกเขาว่าจะอยู่ได้อีก 3-6 เดือน แนะนำให้กลับไปทำสิ่งที่ต้องการทำให้เรียบร้อย วันที่ 12 มิถุนายน 2005 เขาได้รับเชิญให้ไปกล่าวสุนทรพจน์ในวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เขาได้ให้ข้อคิดจากนิตยาสาร The Whole Earth Catalog มันเปรียบเหมือนเป็นคัมภีไบเบิลสำหรับในสมัยของเขาเลยทีเดียว และยังสามารถใช้ข้อคิดในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ด้วยคำที่ว่า "Stay hungry, stay foolish" นั่นหมายความว่า จงอยู่อย่างกระหายที่จะเรียนรู้ และอยู่อย่างคนโง่ที่จะต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ

 ข้อคิดดีๆจากสตีฟ จอบส์
ถึงแม้บางครั้งชีวิตจะเล่นตลกกับเรา แต่จงอย่าสูญเสียความศัทธา เพราะสิ่งเดียวที่ทำให้ลุกขึ้นต่อไปได้นั้นก็คือ การรักในสิ่งที่ทำ ดังนั้นเราต้องหาสิ่งที่เรารักให้เจอก่อน สิ่งนี้เป็นจริงสำหรับหลายๆเรื่อง เช่นเรื่องการงาน เรื่องความรัก เพราะเราต้้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงาน และสิ่งเดียวที่จะทำให้พอใจกับชีวิตอย่างแท้จริงนั้น ก็คือการได้ทำในสิ่งที่เราเชื่อว่ามันยอดเยี่ยมสำหรับเรา และมีวิธีเดียวที่เราจะทำในสิ่งที่ยอดเยี่ยมให้สำเร็จนั้นคือ "เราต้องรักในสิ่งที่เราทำ" หากยังค้นหามันไม่เจอ จงอย่าหยุดค้นหาจนกว่าจะได้พบมัน และอย่าพึ่งยอมแพ้หรือหยุดอยู่ที่เดิม เมื่อเราพบแล้วหัวใจของเราจะบอกเองว่าสิ่งนั้นใช่แล้ว มันก็คล้ายๆกับมิตรภาพ หรือความสัมพันธ์ที่ดี ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป เราก็จะรู้สึกได้เองว่ามันยิ่งใช่กว่าเดิม ดังนั้นแล้ว จงค้นหาต่อไป ถ้ายังไม่พบ จงอย่าหยุดยั้ง จนกว่าเราจะพบมัน
                  ตอนที่ประธานาธิบดีสหรัฐ สมัยที่พึ่งได้รับตำแหน่งใหม่ ของ บารัก โอบามา ท่านได้กล่าวอยู่เสมอว่า "America needs more Jobs" ซึ่งที่คำว่า Jobs ที่แปลว่า งาน มีความหมายแฝงอยู่ว่า ประเทศอเมริกากำลังขาดคนอย่าง Steve Jobs อยู่มาก ถ้ามีคนอย่างสตีฟ จอบส์หลายๆคนแล้วละก็ จะทำให้ประเทศอเมริกาเจริญมากกว่านี้เป็นหลายๆเท่า