กว่าจะมาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐ : โอบามา

                การให้อภัย และการขอโทษ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้เป็นอย่างดี ทุกคนที่เกิดมาล้วนมีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นสีผิว รูปลักษณ์ภายนอก เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ หรือแม้กระทั้งสติปัญญาของแต่ละคน แต่สิ่งหนึ่งที่สังคมยอมรับว่ามีเหมือนกัน นั่นก็คือความเสมอภาคหรือความเท่าเทียมกัน ในการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีเสรีภาพ ความยุติธรรม ยอมรับความแตกต่าง สร้างมิตรภาพซึ่งกันและกันไว้เท่านั้น สังคมถึงจะมีสันติภาพ 


                   เมื่อเห็นภาพแล้วหลายคนคงรู้จักดีว่าเขาเป็นใคร เขาก็คือประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 44 นั่นเอง นิตยสาร CQ weekly ได้ยกย่องโอบามาว่าเป็น นักประชาธิปไตยที่ซื่อสัตย์ และนิตยาสาร Aational Journal จัดอันดับให้เขาเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่มีความเป็นเสรีนิยมมากที่สุด จากการโหวตของคนอเมริกาในปี 2007 
        ในปี 1996 เขาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ และอีก 2 สมัยในปี 1998 กับ 2002 ส่วนในปี 2000 เขาแพ้การเลือกตั้งแบบไพรแมรี ในการชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อ บอบบี รัช พอมาในปี 2004 เขาได้คะแนนเสียงอย่างล้นหลาม ด้วยคะแนนที่แตกต่างกันด้วยคะแนนร้อยละ 70 เพราะนโยบายของเขาที่เป็นผู้ริเริ่มให้มีการปฎิรูปกฏหมายการประหารชีวิต  เขาจึงได้รับการเป็นวุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกาสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา เริ่มหาเสียงด้วยการให้ความสำคัญต่อเรื่องการยุติสงครามในอิรัก ซึ่งจะได้ไม่เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยความไม่จำเป็นลง ให้ความสำคัญเรื่องพลังงาน และการประกันชีวิต ปรากฏว่า เขาได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่และชาวอเมริกันผิวดำที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศไปในทางที่ดีขึ้น ลดความขัดแย้ง และในปี 2008 โอบามา ได้ชนะการเลือกตั้ง จึงได้กลายเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนแรกของชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน หลังจากนั้นเขาได้ประกาศชัยชนะอันยิ่งใหญ่ต่อประชาชนที่แกรนด์ปาร์ค ชิคาโก ว่า การเปลี่ยนแปลงได้มาเยือนประเทศอเมริกาแล้ว (Change has come to Ameriac) ก่อนที่เขาจะมาถึงจุดสูงสุดนี้ได้เราลองมาดูประวัตสมัยเขายังเป็นเด็กกันว่าเป็นอย่างไร


ท่ามกลางความแตกต่างของวัฒนธรรมและสีผิวที่หลากหลายในสหรัฐฯ คนสีผิวกลายเป็นสัญลักษณ์ของการถูกดูถูก เหยียดหยามของคนผิวขาว คนผิวขาวแสดงความรังเกียจ เหยียดหยาม ถือตนดีกว่า สูงส่งกว่า คนผิวสี เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นแม้แต่ในประเทศที่ถือได้ว่ามีเสรีภาพอย่างสหรัฐ ในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีลำสมัย สื่อสารกันได้ทั่วทุกมุมโลก ซึ่งพวกเขาไม่เคยเรียนรู้ความผิดพลาดตั้งแต่ประวัติศาสตร์อันยาวนานในการต่อสู้ สูญเสียในเรื่องการเหยียดสีผิว ทั้งๆที่คนทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน มีสิทธิอันชอบธรรมในการอยู่ด้วยกันแล้วแท้ๆ ยังอยากแบ่งแยกตัวเองให้สูงกว่า เพียงเพราะถือว่าเขาเป็นคนผิวสี แตกต่างจากกลุ่มตัวเอง 
มีบทความที่เขียนขึ้นโดยเด็กแอฟริกันคนหนึ่งเกี่ยวกับคนผิวสี สะท้อนภาพความขมขื่นในใจของการถูกเหยียดหยาม รังเกียจ และเกลียดชังอย่างมากของคนผิวขาว อย่างชัดเจน จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นบทความที่ดีที่สุดประจำปี 2006 โดยองค์การสหประชาชาติ ซึ่งมีเนื้อความว่า

                                   When I born, I black :          เมื่อฉันเกิด ฉันผิวดำ 
                    When I grow up, I black :                 เมื่อฉันโตขึ้น ฉันผิวดำ
                    When I go in sun, I black :               เมื่อฉันถูกแสงแดด ฉันผิวดำ
                    When I scared, I black :                    เมื่อฉันกลัว ฉันผิวดำ
                    When I sick, I black :                          เมื่อฉันป่วย ฉันผิวดำ
                    And when I die, I still black :          และเมื่อฉันตาย ฉันยังคงผิวดำ
                    And you white fellow :                    และพวกคุณผิวขาวทั้งหลาย
                    When you born, you pink :             เมื่อคุณเกิด คุณผิวสีชมพู
                    When you grow up, you white :   เมื่อคุณโตขึ้น คุณผิวขาว
                    When you go in sun, you red :      เมื่อคุณถูกแสงแดด คุณผิวสีแดง
                    When you cold, you blue :             เมื่อคุณหนาว คุณผิวสีน้ำเงิน
                    When you scared, you yellow :    เมื่อคุณกลัว คุณผิวสีเหลือง
                    When you sick, you green :            เมื่อคุณป่าวย คุณผิวสีเขียว
                     And when you die, you grey :       และเมื่อคุณตาย คุณผิวสีเทา
                     And you calling me colored? :      แล้วคุณมาเรียกฉันว่าคนผิวสีได้อย่างไร?




โอบามา เป็นลูกครึ่งอเมริกัน - เคนยา พ่อของเขาเป็นคนเคนยาที่ไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ ส่วนแม่ของเขาจากแคนซัสที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยฮาวาย ทั้งคู่ได้รักกัน เมื่อโอบามาลืมตาดูโลกได้ 2 ปี พ่อของเขาก็แยากทางไปแต่งงานใหม่ที่บ้านเกิด แม่ของเขาจึงหาพ่อเลี้ยงให้เขาเป็นชาวอินโดนีเซีย หลังจากนั้นก็มีน้องสาว โอบามาได้อยู่ในอเมริกาจนกระทั้งเขาอายุ 6 ขวบ ก็ย้ายไปอยู่เมื่องจาการ์ตาในอินโดนีเซีย ในช่วงนั้นเขาได้เขียนความในหนังสือชื่อ Dreams from My Father (ความฝันจากคุณพ่อของฉัน) ว่าเขาต้องพบเจอความแปลกแยกของตัวเขาอยู่เสมอ โดนเพื่อนๆเรียกว่า ลิตเติลแบร์รี และโดนรังแกอยู่เสมอ และโดนล้อประจำ ว่า เองมาจากทางตะวันตก แต่ผิวดำ ผมฟู และจมูกโต พอเขาอายุได้ 10 ขวบ เขาก็กลับมาอยู่กับตา-ยายของเขาที่ฮาวาย ได้เข้าเรียนต่อที่ฮาวาย เพื่อนๆที่นั้นก็ยังเรียกเขาว่า คนผิวดำ ครูบางท่านก็ยังเรียกเขาว่า N word ซึ่งเป็นคำที่ส่อไปทางการดูถูก เหยียบหยามพวก คนผิวดำ อย่างเขา
              ในหนังสือ Dreams from My Father เขาได้แสดงความรู้สึกของตัวเองลงไปว่า เขาเติบโตท่ามกลางคน 2 สีผิว เขาสับสน และรู้สึกว่าเขามีปมด้อยมากมาย ดังข้อความที่ว่า "ในรอบๆตัวฉัน พ่อไม่เหมือนคนอื่นๆ ท่านสีผิวดำ ส่วนแม่ของฉันก็ขาวดังน้ำนม" เขาเติบโตมาโดยที่ไม่มีความเชื่อทางศาสนา พ่อเลี้ยงเขาเป็นพวกที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้า ส่วนแม่ก็เป็นพวกที่ไม่เชื่อในศาสนา ต่อมาโอบามาเคยเข้าไปเป็นสมาชิกนิกาย The United Church of Christ ที่ชิคาโก เพราะเขารู้สึกว่าพระจิตในพระผู้เป็นเจ้าทรงกำลังกวักพระหัตพ์เรียกเขาอยู่ (felt Fod's spirit beckoning me) ความกดดันทั้งหลายในวัยเด็กหล่อหลอมให้เขาเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรง และเป็นแรงผลักดันให้เขาทำงานด้านสิทธิมนุษยชนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องที่เกียวกับผู้ยากจน และพวกผิวดำทั้งหลาย เขาเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญเพื่อความเท่าเทียมกันของสังคม จนกระทั้งเขาตัดสินใจเข้าสู้การเมือง จนได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 ทางกลางผู้คนที่ชอบแนวคิดที่เฉียบคม โดดเด่นไม่เหมือนใครออกจากกรอบเดิมๆ ด้วยความหวังที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศเหมือนคนอเมริกันฝันไว้ แม้จะอยู่ในท่ามกลางความมืดมิดที่แทบจะมองไม่เห็นแสงสว่าง แต่ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ มันคุ้มค่าที่จะรอคอย 


บรรยากาศผู้ที่มายืนเป็นสักขีพยานในการรับตำแหน่งของโอบามา

                ในการเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐของโอบามา เขาได้ทำพิธีสาบานตนขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และเขาได้กล่าวสุนทรพจน์เพื่อประกาศชัยชนะ และเป็นการปลุกใจชาวอเมริกันให้ตื่นจากฝันร้ายที่เคยมีมาตลอด ในตอนหนึ่งกล่าวว่า "เราได้เลือกความหวังที่อยู่เหนือความกลัว ผลประโยชน์ของประเทศอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งหลาย มีแต่ความสามัคคี" เขากล่าวท่ามกลางประชาชนของเขา 2 ล้านกว่าคน ที่มายืนเป็นสักขีพยานต่อการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาด้วยความยินดี และภาคภูมิใจ และหลังฟังพวกเขาเหล่านั้นยืนน้ำตาไหลด้วยความตื้นตันใจเป็นอย่างมาก ที่ เนชันแนลมอลล์ สนามหญ้าด้านตะวันตกของอาคารรัฐสภา 
                                                
 คลิปโอบามากล่าวสุนทรพจน์เมื่อครั้งที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ


     สมัยที่สอง วันที่ 21 มกราคม 2013

สมัยแรก  วันที่ 20 มกราคม 2009