วอร์เรน เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ (Warren Edward Buffett) : เส้นทางสู้ความเป็นมหาเศรษฐีด้านการลงทุน

        วอร์เรน เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ (Warren Edward Buffett) ผู้ได้ร้บการยกย่องว่าเป็น "oracle of Omaha" เทพพยากรณ์ของเหล่านักลงทุนของโลก ได้กล่าวได้ว่า "นี้มีกฎอยู่เพียง 2 ข้อ คือ 1.ถ้าเรื่องของการบริหารชีวิต คุณต้องทำในสิ่งที่ตนเองรักที่สุด และ 2.ถ้าเป็นเรื่องการบริหารจัดการธุรกิจ คุณต้องจ้างคนที่รักในสิ่งที่คุณให้พวกเขาเหล่านั้นทำ"



            วอร์เรน เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ (Warren Edward Buffett) ผู้เป็นคนที่สนใจเรื่องการทำธุรกิจการลงทุนมาก ผู้ที่หลงใหลในการลงทุนตั้งแต่สมัยยังเด็ก เมื่อครั้งที่ยังอายุ 6 ขวบ ได้นำเงินค่าขนมของตัวเองไปซื้อโค้กกระป๋อง แพ็กละ 6 กระป๋อง 25 เซ็นต์ แล้วนำไปขายกระป๋องละ 5 เซ็นต์ นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้กำไรจากการลงทุน ซึ่งแตกต่างจากเด็กวัยเดียวกันเขา เมื่อเขาอายุได้ 11 ขวบ พ่อของเขาชักชวนเขาให้ลองซื้อหุ้นของบริษัทพ่อเขาเอง เขาซื้อหุ้นมาเพียง 3 หุ้น ในราคาหุ้นละ 38.25 ดอลลาร์ และสามารถขายไปในราคาหุ้นละ 40 ดอลลาร์ แต่ภายหลังหุ้นนั้นก็มีราคาเพิ่มขึ้นเป็น 200 ดอลลาร์ ทำให้เขาได้ข้อคิดจากการลงทุนซื้อขายหุ้นในครั้งนั้นว่า การที่จะทำกำไรให้ได้มากๆนั้นต้องอาศัยระยะเวลา และความอดทนรอไปเรื่อยๆ นี้เป็นบันไดก้าวแรกของเขา พอเมื่อเขาอายุได้ 14 ปี เขาใช้เงินที่เก็บสะสมได้ไปซื้อที่ดิน 40 เอเคอร์เพื่อเป็นรายได้จากการให้เกษตรกรเช่า
            จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาตั้งแต่เยาว์วัย และบทเรียนจากหลายๆแห่งยังไม่พอ เขาไปยื่นใบสมัครกับมหาวิทยาลัยธุรกิจฮาร์วาร์ด แต่ถูกปฏิเสธ เพราะเขาอายุยังน้อยเกินไป เขาจึงไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเนบราสกาลิงคอร์น เรียนรู้การลงทุนให้มากที่สุด เขาเรียนจนจบปริญญาตรี ในปี 1950 เมื่อเขาได้อ่านหนังสือ “The Intelligent Investor”ของเบนจามิน แกรห์ม ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในขณะนั้นของวอลล์สตรีท ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย วอร์เรน บัฟเฟตต์ จึงตัดสินใจศึกษาปริญญาโทต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ด้านเศรษฐศาสตร์ เขาเป็นคนเดียวที่สามารถเรียนได้เกรด A+ จากเบนจามิน แกรห์ม หลังจากที่เรียนจบ เขาได้เริ่มการลงทุนโดยไปลงทุนในสถานีน้ำมัน Texaco และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เล็กๆ เนื่องจากเขามีปัญหาในการพูดต่อหน้าชุมชน ในการลงทุนในครั้งนี้จึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ความจริงแล้วเขาสามารถไปทำงานในบริษัทของพ่อได้ โดยไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากนัก แต่เขากลับปฏิเสธที่จะเดินตามรอยเท้าคนอื่น เพราะเขาต้องการทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองเท่านั้น เขาจึงไปต้องแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองก่อน เริ่มจากการพูด เขาตัดสินใจเรียนคอร์สการพูดที่สถาบันเดลคาร์เนกี ที่มีชื่อเสียงทางด้านการพัฒนาบุคลิก และการพูด และเขายังได้สมัครเป็นอาจารย์สอนภาคค่ำในวิชาการลงทุน ที่มหาวิทยาลัยโอมาฮา เพื่อที่จะได้เรียนรู้ ฝึกฝน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆให้มากที่สุด
          ในปี 1957 วอร์เรนได้ก่อตั้งบริษัทลงทุนชื่อ Buffett Partnership, Ltd. เขาประสบความสำเร็จในปี 1969 ซึ่งอัตรากำไรของเขานั้นสูงถึง 29.5 % เทียบกับดัชนีดาวโจนส์ที่ทำได้เพียง 7.4 %  ในปี 1965 เขาเริ่มทยอยซื้อหุ้นของเบิร์กเชียร์แฮธาเวย์ จนได้สามารถควบคุมกิจการด้านสิ่งทอของบริษัท เขาตัดสินใจเปลี่ยนกิจกรรมไปเป็นกิจการเพื่อการลงทุน ในปี 1970 เขาได้เข้ามาเป็นประธานของบริษัท เขาสามารถสร้างรายได้จำนวนมหาศาลจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียว ทั้งๆที่บริษัทนี้ไม่ได้ผลิตสิ่งทอ หรือบริการใดๆ เลย ต่อมาวอร์เรนก็สามารถเข้าไปถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่ง เช่น Coke, Amazon, Disney, หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ เป็นต้น ปัจจุบันมูลค่าพอร์ตการลงทุนของบริษัทเบิร์กเชียร์แฮธาเวย์ มีมูลค่ามากกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญ มีบริษัทในเครืออีกมากมายถึง 63 บริษัท จนผู้คนยอมรับว่า เป็นนักลงทุนที่เก่งที่สุดในโลก และถือได้ว่าเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20
           ในปี 2006 วอร์เรนได้ตัดสินใจบริจาคทรัพย์สินของตัวเอง 85 % ของทรัพย์สินทั้งหมดให้เป็นการกุศล นอกจากนี้ยังได้ทำพินัยกรรมว่า จะบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองเข้ามูลนิธิบัฟเฟตต์ เพื่อเป็นทุนการศึกษาแก่ผู้ที่เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเนบราสกา หลังจากที่เขาเสียชีวิตแล้ว โดยที่ไม่แบ่งมรดกให้ลูกหลานตัวเองเลย ด้วยเหตุผมที่ว่า อยากให้ลูกหลานมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะเอาไปทำกิจการและสร้างชีวิตด้วยมือของตัวเอง ไม่ใช่ว่ามีแต่มรดกอยู่แล้ว ไม่อคิดจะทำอะไรเลย แล้วเสวยสุขบนกองเงินที่เขาเป็นคนสร้าง
           แนวคิดในการลงทุนของวอร์เรนได้รับความสนใจทั่วโลก เพราะแต่ละครั้งที่พูดหรือกล่าวออกมานั้นคมและมีแนวโน้มถูกต้องแม่นยำ ถือได้ว่าเป็นเคล็ดลับความร่ำรวยของเขาเลยทีเดียว ครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวว่า ชีวิตก็เปรียบได้กับก้อนหิมะเล็กๆ สิ่งสำคัญต้องหาหิมะก้อนที่เปียก กับเนินเขาที่ยาวลงไปสุดลูกหูลูกตา เพราะความเปียก เมื่อก้อนหิมะกลิ้งลงมาจากเนินสูงจะค่อยๆรวมตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางยิ่งยาวเท่าไรลูกหิมะก็ยิ่งใหญ่เท่านั้น
            
สุดยอดตำนานนักลงทุน